กระแสไฟฟ้า
นำอิเล็กโทรสโคปแผ่นโลหะสองชุดมาวางใกล้กัน
ทำให้ชุดหนึ่งมีประจุไฟฟ้าโดยการเหนี่ยวนำและอีกชุดหนึ่งมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า
แล้วนำลวดโลหะวางพาดบนจานโลหะทั้งสอง
จะพบว่าแผ่นโลหะบางของอิเล็กโทรสโคปที่เป็นกลางกางออกเล็กน้อย ส่วนแผ่นโลหะบาง
ของอิเล็กโทรสโคปที่มีประจุไฟฟ้าหุบลงเล็กน้อย ดังรูป 1

การที่แผ่นโลหะบางกางออกแสดงว่า
อิเล็กโทรสโคปซึ่งเดิมเป็นกลางมีประจุไฟฟ้าโดยรับประจุไฟฟ้าจากอิเล็กโทรสโคปที่มีประจุไฟฟ้าให้
ผ่านทางลวดโลหะ
เรียกการถ่ายโอนประจุไฟฟ้าผ่านลวดโลหะ ว่ากระแสไฟฟ้า หรือกล่าวว่า
เมื่อประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ในตัวนำ จะเกิดกระแส
ไฟฟ้าในตัวนำนั้น
การถ่ายโอนประจุไฟฟ้าข้างต้น
เกิดขึ้นเพราะมีความต่างศักย์ระหว่างอิเล็กโทรสโคปทั้งสอง
เพราะความต่างศักย์เกิดขึ้นในลวดโลหะในช่วง เวลาสั้นมาก จึงมีกระแสไฟฟ้าในลวดสั้น
ดังนั้นถ้าต้องการให้มีกระแสไฟฟ้า
เป็นเวลานานจำเป็นต้องมีแหล่งพลังงานที่จะทำให้เกิดความ ต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวนำตลอดเวลา
แหล่งพลังงานนี้เรียกว่า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า ได้แก่ เซลล์ไฟฟ้าเคมี
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิง เป็นต้น
การนำไฟฟ้า
เมื่อมีกระแสไฟฟ้าในตัวกลางใด
กล่าวว่ามีการนำไฟฟ้าในตัวกลางนั้น และเรียกตัวกลางนั้นว่าตัวนำไฟฟ้า
การนำไฟฟ้าที่รู้จักดีที่สุด คือ การนำไฟฟ้าในโลหะ
โลหะประกอบด้วยอะตอมที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน
1-3 ตัว ซึ่งอิเล็กตรอนเหล่านี้ถูกยึดไว้ในอะตอมอย่างหลวม ๆ
ด้วยแรงไฟฟ้าให้เคลื่อน ที่รอบนิวเคลียส
อิเล็กตรอนเหล่านี้หลุดจากอะตอมง่ายและเคลื่อนที่โดยไม่อยู่ประจำอะตอมหนึ่งอะตอมใด
จึงเรียกว่า อิเล็กตรอนอิสระ
ตามปกติการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระในตัวนำเป็นการเคลื่อนที่อย่างไร้ระเบียบคือ
ไม่มีทิศแน่นอน เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบบราวน์ ดังรูป 2
เนื่องจากการเคลื่อนที่ในแต่ละช่วงเวลาไม่มีทิศแน่นอน
ดังนั้นความเร็วเฉลี่ยของอิเล็กตรอนอิสระแต่ละตัวจึงเป็นศูนย์

แต่เมื่อทำให้ปลายของแท่งโลหะมีความต่างศักย์จะเกิดสนามไฟฟ้าภายในแท่งโลหะนั้น
แรงเนื่องจากสนามไฟฟ้าจะทำให้อิเล็กตรอนอิสระ
เคลื่อนที่โดยมีความเร็วเฉลี่ยไม่เป็นศูนย์ คือ มีความเร็วลอยเลื่อน
ทำให้มีกระแสไฟฟ้าในแท่งโลหะ ดังนั้นกระแสไฟฟ้าในโลหะจึงเกิดจาก การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระ
ตัวกลางอื่นๆ
เช่น อิเล็กโทรไลต์ หลอดสุญญากาศ
หลอดบรรจุแก๊สและสารกึ่งตัวนำก็สามารถนำไฟฟ้าได้เช่นกัน แต่การนำไฟฟ้าใน
ตัวกลางเหล่านี้เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้ารูปแบบอื่น
กระแสไฟฟ้าในตัวนำไฟฟ้า
เนื่องจากกระแสไฟฟ้าในตัวกลางเกิดจากการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า
จึงได้มีการกำหนดว่ากระแสไฟฟ้าในตัวกลางใดๆคือประจุ
ไฟฟ้าที่ผ่านภาคตัดขวางของตัวกลางนั้นในหนึ่งหน่วยเวลา
พิจารณาการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าผ่านภาคตัดขวางของตัวกลางในรูป
3 สมมติในเวลา t มีอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจำนวน Nตัว
เคลื่อนที่ผ่านภาคตัดขวางของตัวกลาง ถ้าอนุภาคแต่ละตัวมีประจุไฟฟ้า q ดังนั้นประจุไฟฟ้าทั้งหมด Q ที่ผ่านภาคตัดขวางจะเท่ากับ
Ng


เนื่องจากสนามไฟฟ้าทำให้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่เป็นกระแสไฟฟ้า
จึงมีการกำหนดให้ กระแสไฟฟ้าในตัวกลางมีทิศเดียวกับทิศของ สนามไฟฟ้า
โดยที่อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวกเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังบริเวณที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ
ดังนั้น กระแสไฟฟ้าจึงมีทิศ
จากตำแหน่งที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังตำแหน่งที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า ดังรูป 4
การกำหนดทิศของกระแสไฟฟ้าเช่นนี้ มิได้หมายความว่า กระแส ไฟฟ้าเป็นปริมาณเวกเตอร์
แต่กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกในการบอกการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า



ในช่วงเวลา t จำนวนอิเล็กตรอนอิสระที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด
A คือ จำนวนอิเล็กตรอนอิสระในตัวนำที่มีปริมาตร sA
ซึ่งเท่ากับ หรือ nsA เนื่องจาก nvtA
ดังนั้น ประจุไฟฟ้า Q ของอิเล็กตรอนอิสระจำนวน
nvtA ตัว เท่ากับ nevtA
การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระในตัวนำโลหะผ่านพื้นที่หน้าตัด


ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์
กฎของโอห์มและความต้านทาน

เมื่อมีความต่างศักย์ตกคร่อมตัวนำ
จะทำให้อิเล็กตรอนไหลด้วยความเร็วลอยเลื่อน
เนื่องจากอิทธิพลของสนามไฟฟ้าจากการทดลอง เมื่อเพิ่ม
ความต่างศักย์ที่ตกคร่อมลวดตัวนำ พบว่ากระแส จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรง
ซึ่งหมายความว่า กราฟเป็นเส้นตรงมีความชันที่คงที่ตลอดการ ทดลอง
ส่วนกลับของความชันนี้เรียกว่า ความต้านทานไฟฟ้า (R) ของตัวนำนั้น ทำให้โอห์ม (คศ. 1787-1854)
ซึ่งเป็นผู้แรกที่ทำการ ทดลองเกี่ยวกับเรื่องความต้านทานอย่างเป็นระบบ ตั้งเป็นกฎของโอห์มขึ้น
ดังนี้

มื่อ k เป็นค่าคงตัวของการแปรผัน




เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ในตัวนำไฟฟ้าชนิดอื่น
ๆ ได้แก่ โลหะ หลอดไดโอด อิเล็กโทรไลต์ และสารกึ่งตัวนำ ที่อุณหภูมิคงตัว
จะได้ดังรูป

จากกราฟข้างต้น จะเห็นได้ว่า
ตัวนำไฟฟ้าที่เป็นโลหะจะมีความต้านทานคงตัว เป็นไปตามกฎของโอห์ม
ส่วนตัวนำไฟฟ้าอื่น ความต้านทานไม่คงตัว และไม่เป็นไปตามกฎของโอห์ม
ตัวต้านทาน
ในวงจรทั่วไป
ตัวต้านทานมักทำจากผงคาร์บอนอัดแน่นเป็นรูปทรงกระบอกเล็ก ๆ
ตัวต้านทานแบบนี้มีความต้านทานคงตัว เรียกว่า ตัวต้านทานค่าคงตัว
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ และใช้แถบสีบอกความต้านทาน

การอ่านความต้านทานจากแถบสีบนตัวต้านทาน



แอลดีอาร์
แอลดีอาร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นกับความสว่างของแสงที่ตกกระทบ
แอลดีอาร์มีความต้านทานสูงในที่มืด แต่มีความต้านทานต่ำในที่สว่าง
จึงเป็นตัวรับรู้ความสว่างในวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับควบคุมการปิด -
เปิดสวิตซ์ด้วยแสง

เทอร์มีสเตอร์
เทอร์มีสเตอร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม
เทอร์มีสเตอร์แบบ NTC มีความต้านทานสูงเมื่ออุณหภูมิต่ำ
แต่มีความต้านทานต่ำเมื่ออุณหภูมิสูง
เทอร์มีสเตอร์จึงเป็นตัวรับรู้อุณหภูมิในเทอร์มีสเตอร์บางชนิด

ไดโอด
ไดโอดทำจากสารกึ่งตัวนำ มีลักษณะและสัญลักษณ์
ดังรูป 10 ไดโอดมีขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบ เมื่อนำไดโอด
แบตเตอรี่และแอมมิเตอร์มาต่อเป็นวงจรโดยต่อขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่กับขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบของไดโอดตามลำดับ
จะพบว่า มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสตรง
เมื่อสลับขั้วของไดโอด จะพบว่า ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า
ไบแอสกลับ


สภาพต้านทานไฟฟ้าและสภาพตัวนำ
เมื่อต่อแบตเตอรี่กับลวดโลหะ
แล้ววัดความต่างศักย์ V ระหว่างปลายลวด
และกระแสไฟฟ้า I ที่ผ่านลวดนั้น
โดยใช้ลวดที่ทำจากโลหะชนิดเดียวกัน มีความยาว l ต่าง ๆ กัน และมีพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน
พบว่าอัตราส่วนระหว่าง Vและ
I แปรผันตรงกับ
l ของลวดนั้น

ถ้าใช้ลวดที่มีความยาวเท่ากัน
แต่มีพื้นที่หน้าตัด A ต่าง
ๆ กัน พบว่าอัตราส่วนระหว่าง V
และ l แปรผกผันกับ

ดยอาศัยกฎของโอห์มในสมการ (2)
สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทาน R ความยาว l และพื้นที่หน้าตัด A ของลวดโลหะได้ดังนี้



พลังงานในวงจรไฟฟ้า
แรงเคลื่อนไฟฟ้าและความต่างศักย์
พลังงานไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าต่อหนึ่งหน่วยประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านแหล่งกำเนิดไฟฟ้าคือ
แรงเคลื่อนไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า แทนด้วยสัญลักษณ์ E ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานไฟฟ้า
Wประจุไฟฟ้า
Qและแรงเคลื่อนไฟฟ้า
E เขียนได้ดังนี้คือ
พิจารณาวงจร
ซึ่งประกอบด้วยตัวต้านทานที่มีความต้านทาน R ต่อกับแบตเตอรี่ที่มีแรงเคลื่อนไฟฟ้า E และความต้านทานภายใน
rซึ่งมีค่าน้อย
กระแสไฟฟ้า I จะผ่านทั้งตัวต้านทานและแบตเตอรี่
ให้
และ
เป็นความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวต้านทาน R และ
r ตามลำดับ
และกระแสไฟฟ้า I เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้า
Qในวงจร
พลังงานไฟฟ้าที่ประจุไฟฟ้า Q ได้รับและใช้ในขณะเคลื่อนที่ผ่านส่วนต่าง
ๆ ของวงจร
จากกฎอนุรักษณ์พลังงาน
จากกฎของโอห์ม







แสดงว่ากระแสไฟฟ้า I ขึ้นกับความต้านทาน
R กล่าวคือเมื่อ
R มีค่าน้อย
I จะมีค่ามาก
มีผลให้ Ir มีค่ามาก
ดังนั้นตามสมการ ( 5 ) V ที่วัดได้จึงน้อยกว่า
E แต่ถ้า
R มีค่ามาก
I จะมีค่าน้อย
มีผลให้ Ir มีค่าน้อย
ดังนั้น V ที่วัดได้จะมีค่าใกล้เคียงกับ
E และถ้าวัด
V โดยที่ไม่มีตัวต้านทานต่ออยู่เลย
จะได้ V ใกล้เคียงกับ
E มาก
จนอาจถือได้ว่าความต่างศักย์ระหว่างขั้วแบตเตอรี่มีค่าเท่ากับแรงเคลื่อนไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าและแรงไฟฟ้า
พิจารณาวงจรไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วยตัวต้านทานและแบตเตอรี่




จากกฎของโอห์ม

พลังงานไฟฟ้าตามสมการ (6)
เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปหรือถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่น
เรียกพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้หรือเปลี่ยนไป ในหนึ่งหน่วยเวลา
หรืออัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าว่า กำลังไฟฟ้า มีหน่วย วัตต์ (W) ถ้า
P แทนกำลังไฟฟ้าจะได้

แทนในสมการจะได้

การต่อตัวต้านทานและแบตเตอรี่
ในการนำตัวต้านทานสองตัวมาต่อกันแล้วนำไปต่อกับแบตเตอรี่จะสามารถทำได้
2 รูปแบบ คือ การต่อตัวต้านทาน ดังรูป 17 เรียก การต่อแบบอนุกรม และการต่อแบบขนาน

ความต้านทานรวมของตัวต้านทานที่ต่อแบบอนุกรม
การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมหรืออันดับ (series) เป็นการต่อที่นำตัวต้านทานหลายๆ
ตัว มาต่อเรียงกันให้อยู่ในสายเดียวกัน โดยใช้ปลายหนึ่งของตัวต้านทานตัวที่ 1
ต่อกับปลายหนึ่งของตัวต้านทานตัวที่ 2 เรียงลำดับไปเรื่อย ๆ

ผลของการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม
1. กระแสไฟฟ้า (I) ผ่านตัวต้านทานทุกตัวเท่ากัน

2.
ความต่างศักย์ไฟฟ้ารวมเท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ไฟฟ้าย่อย


จากกฎของโอห์ม จะได้

เมื่อ R คือความต้านทานรวมของ
และ
ที่ต่อแบบอนุกรม


เนื่องจาก

ดังนั้น

าต่อตัวต้านทาน n ตัว แบบขนาน จะได้ความต้านทานรวม

การประยุกต์ความรู้เรื่องการต่อตัวต้านทาน
การแบ่งศักย์
ความรู้เรื่องการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมนำไปใช้ในการแบ่งความต่างศักย์ในวงจร
ตัวต้านทานที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า ตัวแบ่งศักย์


ให้
เป็นความต่างศักย์ที่ต้องการซึ่งแบ่งแยกจาก
โดยใช้ตัวต้านทาน
และ
ที่มีความต้านทาน
และ
ตามลำดับ โดยหาค่าได้ดังนี้จากกฎของโอห์ม







และ

รวมสมการจะได้





เมื่อพิจารณาจุด a จะได้
หรือกล่าวได้ว่า กระแสไฟฟ้าที่เข้าจุด a
เท่ากับผลบวกของกระแสไฟฟ้าที่ออกจากจุด a

เท่ากับผลบวกของกระแสไฟฟ้าที่ออกจากจุด a
เมื่อพิจารณาจุด b จะได้
หรือกล่าวได้ว่า ผลบวกของกระแสไฟฟ้าที่เข้าจุด b เท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ออกจากจุด b

เครื่องวัดไฟฟ้า
ครื่องวัดไฟฟ้าเบื้องต้น ได้แก่ แอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์
เครื่องวัดดังกล่าวได้รับการดัดแปลงจากแกลแวนอมิเตอร์ชนิดขดลวดเคลื่อนที่
ซึ่งประกอบด้วยขดลวดอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็กและที่ขดลวดมีเข็มชี้ติดอยู่ ดังรูป

เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวด สนามแม่เหล็กจากขั้วแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้า
จะทำให้ขดลวดหมุนและเข็มชี้เบนไป ปริมาณการเบนของเข็มชี้ขึ้นกับกระแสไฟฟ้าในขดลวด
กระแสไฟฟ้าที่ทำให้เข็มเบนได้เต็มสเกลมีค่าจำกัดค่าหนึ่ง เรียกว่า
กระแสไฟฟ้าสูงสุด หรือแกลแวนอมิเตอร์สามารถวัดกระแสไฟฟ้าในช่วงได้
โดยนำไปต่ออนุกรมกับวงจร ดังรูป


เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์ประกอบด้วยขดลวด ดังนั้นจึงมีความต้านทานค่าหนึ่ง
สมมติเท่ากับเมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวด จะเกิดความต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์
ถ้ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวดเท่ากับ
ความต่างศักย์ขณะนี้เป็นความต่างศักย์สูงสุด
หรือมีค่าเท่ากับแกลแวนอมิเตอร์จึงสามารถวัดความต่างศักย์ในช่วง
ได้โดยการนำไปต่อขนานกับส่วนของวงจร


แอมมิเตอร์
การดัดแปลงแกลแวนอมิเตอร์เป็น แอมมิเตอร์
เพื่อวัดกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดตามที่ต้องการ
ทำได้โดยนำตัวต้านทานที่เรียกว่า ชันต์
ซึ่งมีความต้านทานมาต่อขนานกับแกลแวนอมิเตอร์
เพื่อแบ่งกระแสไฟฟ้าที่ต้องการวัดเป็นสองส่วน
คือส่วนหนึ่งที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์เท่ากับ
ส่วนที่เหลือที่ผ่านชันต์เท่ากับดังรูป



เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์และชันต์ต่อขนานกัน
ดังนั้นความต่างศักย์ระหว่างปลายของชันต์จะเท่ากับ ความต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์





ปัจจุบันมีการดัดแปลงแกลแวนอมิเตอร์ให้เป็นแอมมิเตอร์
โวลต์มิเตอร์และโอห์มมิเตอร์ในเครื่องเดียวกัน เรียกว่า มัลติมิเตอร์

Very Good
ตอบลบนิดหน่อยแก 5555
ลบ